เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ เม.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ธรรมะ เขาว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ” ด้วยความเห็นของเรากันนะ ธรรมะเป็นธรรมชาติเพราะพวกเราคิดกันไม่ถึงไง ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ แต่ความจริงธรรมชาติมันเป็นธรรมชาติของมันนะ ธรรมชาติ แต่ธรรมะนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาก็เป็นธรรมชาติแล้วนะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมชาติก็มีของมัน ธรรมชาติของมันน่ะ มันปรับสภาพของมัน ดูโลกสมัยยุคโบราณสิ ยุคโบราณนี่ต้องยุคน้ำแข็ง ยุคเหล็ก ยุคต่างๆ แต่ละยุคมันพัฒนาการของมันมา แล้วมันก็พัฒนาการถึงที่สุดแล้วมันก็เปลี่ยนแปลง มันก็พัฒนาการของมันไปอีก เพราะทรัพยากรมันโดนใช้ไปมหาศาล นี่คือธรรมชาติ

ชีวิตการเวียนตายเวียนเกิดของเราก็ธรรมชาตินะ ชีวิตเวียนตายเวียนเกิดโดยธรรมชาติ โดยการเกิดและการตายเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ทีนี้สิ่งนี้ว่าเป็นธรรมชาติ มันเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ สิ่งที่พิสูจน์ เวลาโลกเจริญน่ะ เมื่อก่อนสมัยเกษตรกรรม ทั่วโลกเลยทำเกษตรกรรมด้วยมือของตัวเองเท่านั้น พอมีเครื่องทุ่นแรงขึ้นมา เครื่องจักรไอน้ำขึ้นมา ทำให้ตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมโลกเปลี่ยนแปลงไปมหาศาลเลย นี่ธรรมชาติอันนี้เกิดมาจากอะไร ธรรมชาติอันนี้เกิดมาจากปัญญาของคน เวลาปัญญาของคนรื้อค้นเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อความสะดวกของเรา แต่มันก็มีต้นทุนนะ คือโดนทำลายสิ่งแวดล้อมไปหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ.. ธรรมชาติอันหนึ่งเป็นธรรมชาติการเกิด อำนาจโดยกิเลส อำนาจโดยธรรม อำนาจโดยกิเลส อำนาจโดยโลก อำนาจโดยธรรมชาติที่มันต้องแปรสภาพของมันไป ใครไปขวางกั้นมันไม่ได้ เวลาน้ำหลากมา น้ำมากมา ใครจะไปกางกั้นมันได้ น้ำป่ามันทำลายทุกๆ อย่างนะ นี่เรื่องของกรรม เรื่องของกิเลสมันเกิดมาโดยธรรมชาติของมัน แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นนะ รื้อค้นสิ่งที่เหนือธรรมชาติ สิ่งที่เป็นธรรมชาติ อย่างร่างกายเป็นธรรมชาติ ความจริง ความเกิดความเป็นอยู่ของเราเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่จิตใจที่มันรู้จริงน่ะ มันปล่อยวางไว้ทั้งหมดนะ มันรู้จริง

ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเจ็บไข้ได้ป่วยนะ หมอชีวกเป็นคนรักษาร่างกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่จิตใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครตามทัน.. เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอรหันต์นั่งล้อมเต็มไปหมดเลย พระอุบาลีก็เป็นพระอรหันต์นะ พระอุบาลีนี่เป็นผู้ทรงวินัย “ไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วหรือ” พระอนุรุทธะนั่งอยู่นั่นด้วยกัน พระอนุรุทธะนี่เป็นเลิศทางรู้วาระจิต “ยัง.. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌานอยู่” นี่พระอรหันต์เหมือนกันทั้งหมดเลย สิ่งที่พระอรหันต์เหมือนกันทั้งหมด เรื่องของใจที่เหนือธรรมชาติ ธรรมะที่เหนือธรรมชาติอยู่ในหัวใจอันนั้น แม้แต่พระอรหันต์ด้วยกันยังเห็นร่องรอยบ้าง ไม่เห็นร่องรอยบ้าง

แต่เวลาความรู้สึกของเรา เวลากิเลสของเรา ความรู้สึกของเรา ความเจ็บช้ำน้ำใจของเรา ความเจ็บปวดหัวใจ เรื่องของกิเลสมันมีอำนาจนะ อำนาจของกิเลสมันบีบคั้นเรา อำนาจของธรรมล่ะ เรานี่เกิดมาใต้ร่มธงพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาวางธรรมและวินัยไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมและวินัยไว้ ตกผลึกเป็นศีลธรรมจริยธรรม ศีลธรรม จริยธรรม ทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข นี่เราอยู่ใต้ร่มธงของศาสนาพุทธ

พระพุทธศาสนาให้มีการเสียสละ ให้มีการเจือจานต่อกัน แต่เราไม่ได้เข้าถึงธรรมในหัวใจของเรา ถ้าในหัวใจเราเข้าถึงธรรมนะ เราเข้าถึงธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาได้เพราะเหตุใด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาได้เพราะทรมานตนอยู่ ๖ ปี นั่นคือการทดสอบลองผิดลองถูกอยู่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์นั้น ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมขึ้นมา ธรรมที่เหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติตามอันนี้ไม่ทันอีกแล้ว ธรรมชาติจะตามหัวใจอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว หัวใจนี้พ้นไปจากธรรมชาติทั้งหมด

แล้วเวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เวลาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน สาวก สาวกะ ที่ประพฤติปฏิบัติ ต้องประพฤติปฏิบัติ อาหารในสำรับ ถ้าเราไม่ได้หยิบใส่ปากของเรา แล้วไม่กลืนกินลงไปในกระเพาะของเรา อาหารนั้นจะไม่เป็นของเรา ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติมันแปรปรวน ธรรมชาติมันเป็นสมบัติสาธารณะ แต่ถ้ามันเป็นสัจธรรมในหัวใจของเรา มันเหมือนอาหารที่เราเอาใส่ในปากของเรา เราได้กลืนไปอยู่ในกระเพาะของเรา ไอ้เรื่องการขับถ่ายนั้นเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง นี่เหมือนกัน ถ้าใจเราสัมผัสธรรม ใจเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สมาธิก็เป็นสมาธิของเรา ปัญญาก็เป็นปัญญาของเรา

สมาธิ ปัญญา ก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง สมมุติอันหนึ่ง ธรรมะเป็นธรรมชาติ สมมุติอันหนึ่ง สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง เพราะสภาวธรรมมันเป็นการเปลี่ยนแปลง สภาวธรรมเปลี่ยนแปลง เห็นไหม อำนาจโดยกิเลส อำนาจโดยธรรม

อำนาจโดยกิเลส คือ ตัณหาความทะยานอยาก ความคิดที่เราคิดในหัวใจที่มันบีบคั้นเรา

อำนาจโดยธรรม คือ เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา

มีศีลทำให้ใจเป็นปกติขึ้นมา มีกำลังสติ มีคำบริกรรม เพื่อหยุดยั้งความคิดให้มันเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือการหยุดยั้งความคิด ความคิดของเราหยุดยั้งมันได้ ถ้าหยุดยั้งมันได้ มันปล่อยวางได้ มันเป็นสมาธิ ปัญญาที่เกิดจากการวิปัสสนา ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการกระทำ นี่ไง การหยิบอาหาร การแสวงหาอาหารมาใส่สำรับของเรา การเปิบอาหารใส่เข้าไปในปากของเรา การเคี้ยว การย่อย การกลืนเข้าไปในกระเพาะของเรา นี่ไง จิตมันมีการกระทำของมัน สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งใช่ไหม

สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมเป็นธรรมชาติทั้งหมด การกระทำนี้เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง สมาธิ ปัญญา มันก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ธรรมชาติมันแปรปรวน ธรรมชาติมันแปรสภาพตลอดเวลา ธรรมชาติคงที่...ไม่มี

แต่หัวใจที่พ้นจากทุกข์แล้วมันคงที่

มันพ้นจากธรรมชาติไปได้อย่างไร? ความที่แปรปรวนในใจเรา สิ่งที่มันแปรปรวน สิ่งที่เป็นอารมณ์ที่อยู่ในหัวใจ พอมันพ้นจากธรรมชาติไปแล้ว ไม่มีใครตามมันได้ทัน นี่ธรรมะมันลึกลับมหัศจรรย์ขนาดนี้นะ ลึกลับ มหัศจรรย์

เราอยู่ใต้ร่มธงในพระพุทธศาสนา แต่ร่มธงของศาสนา ด้วยร่มเงาของศาสนาพุทธ ร่มเงาของธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอาศัยร่มเงานี้อยู่นะ แต่เราสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาไม่ได้ เราปักหลักของเราขึ้นมาไม่ได้ ถ้าเราปักหลักของเราขึ้นมาได้ ใจเรา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์คร่ำครวญมากนะ “อานนท์.. เราไม่ได้เอาสมบัติของใครไปเลย เราเอาสมบัติของเราส่วนตัวของเรา...” ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เอาสมบัติของพระพุทธเจ้าไปเท่านั้น ไม่ได้เอาสมบัติของใครไปเลย

นี่สิ่งใดใครมีการกระทำกันมา สัจธรรมมีขึ้นมา ใครแสวงหา คือการกระทำขึ้นมา ด้วยอำนาจของกิเลส ด้วยอำนาจของธรรม ถ้าใจได้สัมผัสธรรมขึ้นมา จะเป็นสมบัติของคนนั้น เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ จะไปลาปรินิพพาน “เธอจงเห็นควรแก่เวลาของเธอเถิด” มันเป็นสมบัติส่วนตนของพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นสมบัติส่วนตนของพระกัสสปะ เป็นสมบัติส่วนตนทั้งนั้นเลย นี่ไง เราอาศัยร่มเงาก่อน เราอาศัยร่มเงาในพระพุทธศาสนา แต่เราต้องสร้างเนื้อสร้างตัวของเราขึ้นมา เราต้องมีสติสัมปชัญญะขึ้นมา เราต้องตั้งสติของเราขึ้นมาเพื่อเอาตัวเรารอดให้ได้ ถ้าเอาตัวเรารอดให้ได้ สาวก สาวกะ ผู้ได้ยินได้ฟังและประพฤติปฏิบัติ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ การแสวงหาโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เพราะสร้างสมบุญญาธิการมามหาศาล ดูสิ ในทางวิทยาศาสตร์ เราต้องแสวงหาสิ่งใดที่เป็นคุณประโยชน์กับเรา เป็นคุณงามความดีกับเรา แต่เวลาเรื่องในหัวใจของเรา เรื่องธรรม เราก็ต้องแสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา ทุกคนรักตัวเองหมดนะ ทุกคนรักตัวเอง ทุกคนเห็นแก่ตัว ทุกคนต้องรักตัวเองก่อน แต่เวลาจิตใจเป็นสาธารณะขึ้นมาแล้ว เพราะสิ่งนี้มันหมักหมมในใจของเรา แล้วเราได้ทำการแก้ไขไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีเมตตาไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง รื้อสัตว์ขนสัตว์นะ ดูสิ เราเป็นพ่อแม่ของคน เราต้องสอนให้ลูกเราเป็นคนดีน่ะ ลูกมันขัดแย้งในหัวใจไหม ลูกมันมีการโต้แย้งไหม มันเป็นเรื่องธรรมดาของกิเลส

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน มองเห็นพวกเรา พวกเราแสวงหา ทางโลก แสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัย แสวงหาสิ่งนี้มา มันติดอยู่กับโลก แล้วสิ่งที่ละเอียดกว่าน่ะ แสวงหาเหมือนกัน แสวงหามาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้น แต่สิ่งที่มีคุณประโยชน์ขึ้นมาคือชีวิตของเรา ตำแหน่งหน้าที่การงาน ทรัพย์สมบัติขึ้นมา ได้มาเพราะมีเรา ถ้าไม่มีเราขึ้นมา ไม่มีหัวใจ ไม่มีเราเป็นมนุษย์ขึ้นมา สมบัติมันจะเป็นของใคร สมบัติเป็นของสาธารณะนะ ทุกอย่างสมบัติโลกนี่เป็นสมบัติสาธารณะ สมบัติผลัดกันชม ใครมีอำนาจวาสนา ใครมีปัญญา ใครๆ ก็หาสมบัตินั้นมาเป็นของตนได้ หาของตนได้ แล้วใช้ประโยชน์ได้มากน้อยขนาดไหน มันอยู่ที่ค่าของสมมุติโลกเขา

แต่สมบัติส่วนตน สมบัติในหัวใจเรา สุข ทุกข์ เรารู้ของเราเอง มั่งมีศรีสุขขนาดไหน ถ้าหัวใจมันไม่พอ มันก็ทุกข์จนเข็ญใจของมันไป แต่ถ้ามันพอใจ เห็นไหม ดูสิ ภิกษุเรา กษัตริย์ในสมัยพุทธกาล เวลาบวชแล้วอยู่โคนต้นไม้ “สุขหนอ สุขหนอ สุขหนอ” มันมีสมบัติอะไรเป็นของตน มีบริขาร ๘ บริขาร ๘ นั่นมันปัจจัยเครื่องอาศัย บาตรเป็นอาหาร จีวรเป็นเครื่องนุ่งห่ม กลดเป็นบ้าน เวลาฉันยาดองนี่น้ำมูตรเน่า นี่มันมีปัจจัย ๔ ครบ มีปัจจัย ๔ ครบแล้วมันไปเดือดร้อนกับสิ่งใด เช้าขึ้นมาจะเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งออกบิณฑบาต แล้วแต่อำนาจวาสนาเขาจะใส่บาตร ไม่ใส่บาตร เป็นเรื่องของเขา อด ๓ วัน ๔ วันก็ไม่เป็นไร ธุดงค์ไปในป่า เวลาไม่เจอบ้านคน บิณฑบาตไปไม่มีจะกิน ก็ไม่ต้องกิน ไม่กินมันก็ไม่ตาย คนเราเคยประพฤติปฏิบัติมาแล้ว เคยอดอาหาร เคยผ่อนอาหารมาแล้ว เรื่องอดอาหาร ๕ วัน ๑๐ วัน เป็นเรื่องปกติธรรมดา มันมีความกังวลในใจไหม จิตใจเป็นอิสระไหม จิตใจเป็นขี้ข้าของใครไหม ถ้าจิตใจเป็นขี้ข้า มันขี้ข้าของกิเลสเลยไง นี่อำนาจโดยกิเลส มันวิตกกังวลแล้ว

นี่บวชมาแล้วก็ไม่มีใครดูแล เป็นพระเป็นเจ้าก็ไม่มีใครสนใจ สนใจมันก็เป็นการคลุกคลี สนใจมันก็เป็นการไม่วิเวก นี่เราแสวงหาอะไร เราแสวงหากิเลส เราจะแสวงหาธรรมใช่ไหม แสวงหาธรรมเราก็ต้องมีความสงัดวิเวก กายวิเวก จิตวิเวก แล้วกายวิเวก เราออกเราแสวงหา เราบวชมา ดูสิ เราบวชมาเหมือนนกเลย มีปีกกับหางเท่านั้น นกมันกินอาหารเสร็จมันบินไปเลย มันไม่หวงแหนของมัน เวลาฤดูกาลใหม่ ผลไม้ออกใหม่ มันก็บินมากินใหม่ แล้วมันก็ไปของมัน มันไม่เคยติดถิ่นของมันเลย นี่ก็เหมือนกัน พระ เวลาผู้ประพฤติปฏิบัติ บริขาร ๘ มันก็เหมือนกับปีกกับหาง มีปีกกับหาง ฉันเสร็จแล้วเก็บของใส่บาตรแล้วเดินธุดงค์ไป ไม่ติดอะไรเลย ไม่ติด

ถ้ากายมันวิเวกไม่ได้ จิตมันจะวิเวกได้อย่างไร ไอ้นี่จะไปก็ละล้าละลังๆ ห่วงหน้าพะวงหลัง ติดไปหมดเลย.. สมบัติของเรามีไหม นี่วัฏฏะ ติดข้องในวัฏฏะ ติดข้องในโลก ติดข้องในสังคม พอติดข้องแล้วมันจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ถ้ามันเอาตัวรอดไม่ได้ กายไม่วิเวก จิตมันจะวิเวกได้อย่างไร ถ้าจิตวิเวก ตัวจิตอยู่ไหน นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ

อยู่ในบ้านทุกคนจะบอกนะ ว่าทำไมเราต้องออกป่าออกเขา ทำไมเราไม่อยู่ในสังคม อยู่ในสังคมมันคลุกเคล้ากัน สัตว์สังคม สัตว์มนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่.. ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่.. ในสังคมที่มีการเกื้อกูลกัน ทุกดวงใจมันละล้าละลัง มันจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ มันห่วงหน้าพะวงหลังทั้งนั้นน่ะ ทุกดวงใจว้าเหว่ แต่ถ้ามันแยกตัวออกมา มันยิ่งคิดมาก มันยิ่งวิตกกังวล แต่จะสู้กับมัน จะทำลายมัน นี่สมบัติส่วนตน

เราเกิดใต้ร่มเงาของศาสนา แต่ศาสนาในหัวใจเราไม่มี หลักเกณฑ์ สัจจะความจริงในหัวใจเราเกิดขึ้นมาไม่ได้ เราเกิดขึ้นมาไม่ได้เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ฝึกหัด แล้วพอมองข้ามกันไง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ การประพฤติปฏิบัติของพระ การประพฤติปฏิบัติในศาสนาพุทธเรา พุทธศาสนา.. “จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร” ความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ ไม่ใช่อ้อนวอนเอา ขอเอา อ้อนวอนเอามันศาสนาผี ไปหาพระหาเจ้า อ้อนวอนขอเอา พรมน้ำมนต์ขอเอา นี่การขอเอา มันขอ

ถ้าขอแล้วเราอธิษฐาน แล้วอธิษฐานบารมี ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะทำคุณงามความดี จะเอาธรรมะ จะเอาสัจธรรมที่เกิดขึ้นมาในหัวใจของเราให้ได้ เราเกิดมาใต้ร่มธงพระพุทธศาสนา เราจะยืนตัวของเราขึ้นมาให้ได้ ยืนตัวขึ้นมาในใต้ร่มธงของศาสนา ร่มของศาสนาที่ให้เราอยู่ร่มเย็นเป็นสุข สังคมร่มเย็นเป็นสุข สมณะ ชี พราหมณ์ มีโอกาสประพฤติปฏิบัติ นี่สังคมร่มเย็นเป็นสุข

วันหยุดวันว่างของเรา เราต้องหาหลักหาเกณฑ์ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันทรมานตน เวลาเคี้ยวอาหารทรมานตนไหม ภัตกิจ เวลาพระฉันข้าวเป็นกิจกรรมอันหนึ่ง เป็นงานอันหนึ่ง การกินการอยู่ก็งานอันหนึ่ง การแบกหามก็งานอันหนึ่ง การเดินจงกรมนั่งสมาธิมันก็เป็นงานเหมือนกัน แต่งานอันหนึ่งชอบ งานที่มันสะดวกสบายชอบนัก งานที่ลงทุนลงแรงไม่เอา ถ้างานลงทุนลงแรงไม่เอา กำลังเราเกิดมาจากไหน นักกีฬาไม่ซ้อมมันจะมีกำลังมาจากไหน นักกีฬามันจะมีกำลังขึ้นได้ มันต้องซ้อมของมันใช่ไหม ทักษะมันต้องฝึกหัดของมันขึ้นมา ถ้าฝึกหัดขึ้นมา นักกีฬาคนนั้นเขาจะมีอาชีพที่มั่นคงของเขา

ในพระพุทธศาสนาของเรา เราอยากจะมีของเรา แล้วเราไม่ทำของเราขึ้นมา อ้อนวอนเอา ทำบุญแล้วมันจะได้ขึ้นมา ทำบุญมันเป็นอำนาจวาสนาบารมีนะ ทำบุญ อามิส รถมานี่ต้องเติมน้ำมันตลอด น้ำมัน ทำบุญ เติมน้ำมัน มันทำให้ใจเรามั่นคงแข็งแรงขึ้นไป รถเติมน้ำมันไป น้ำมันมันก็ต้องใช้สอยไปหมดไปๆ บุญเกิดขึ้นมา การกระทำแล้ว บุญใช่ไหม ทำบุญเราก็ทำ บาปเราก็ทำ บุญเราก็ทำ มันก็เป็นสิ่งที่แรงขับเคลื่อนทั้งนั้นน่ะ แต่ความจริง ดูสิ รถ เราต้องพึ่งพาอาศัยมันนะ เท้าของเรามันก็ต้องพึ่งอาศัย เท้าเรามีกับเรา จะเดินไปไหนก็ได้ จิตที่มันเป็นไปแล้ว มันรักษาตัวมันเองได้ มันจะไปไหนก็ได้ มันไม่ต้องอาศัยสิ่งใดเลย อาศัยตัวมันเองนั่นน่ะ นี่ความสุขที่เกิดจากเรา ความสุขที่เกิดจากภายใน อำนาจโดยธรรม

อำนาจโดยกิเลส คือสิ่งที่เป็นโลกๆ คือสิ่งที่ทำให้เราน้อยเนื้อต่ำใจ ให้ชีวิตเราทำไมต้องทุกข์ ต้องลำบาก มันลำบากทั้งนั้นน่ะ เพราะโลกนี้ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง คนเกิดขึ้นมาแล้วต้องมีอาชีพ ต้องมีการกระทำ มันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องจริงๆ ต้องเป็นที่เครื่องอาศัย แต่หัวใจล่ะ เครื่องที่มันจะให้มันสุขได้ ถ้าคนมีธรรมในหัวใจนะ ทำหน้าที่การงานก็หน้าที่การงาน ใจมันก็มีหลักของมัน แล้วถึงเวลามันมีหลักของมันตลอดไป มันไม่เร่าร้อนไง แต่ถ้าใจไม่มีธรรมในหัวใจนะ หน้าที่การงานทำแล้วก็ทุกข์ เป็นห่วงหน้าพะวงหลัง ทุกข์ไปหมดเลย ไม่มีหลัก คนเราไม่มีที่พักอาศัยเลย

แต่ถ้าคนมีที่พักอาศัย มันจะมีที่พักอาศัย ทุกข์ก็ทุกข์ ทุกข์แน่นอน แต่ทุกข์ที่มีหลัก ทุกข์ที่มีที่อาศัย มันทุกข์คนละทุกข์น่ะ เหมือนเรามีพ่อแม่อยู่มันอบอุ่นนะ พ่อแม่ตายไปแล้วนะ เราต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเอง นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันมีหลักมีเกณฑ์เหมือนมันมีพ่อมีแม่ มันมีที่อาศัย มันไม่เร่ร่อน เหมือนเรามีเพื่อนไปตลอดเวลา มีธรรมเป็นเพื่อน มีธรรมตลอด มีหัวใจตลอด สิ่งนี้เป็นประโยชน์กับเรานะ

เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ควรจะมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อเราน่ะ เพื่อตัวเราเอง ทำเพื่อเรา

สติปัญญาสำคัญกว่าอาหารมาก นี่ธรรมะ ธรรมะไง อาหารมันกินเข้าไปนะ ในกระเพาะอาหารก็เพื่อร่างกายนี้ชุ่มชื่นชั่วคราว มีสติสัมปชัญญะระลึกตัว รู้ตัวตลอดเวลา เราจะไม่ทำผิดพลาดนะ มีสติทำให้จิตสงบขึ้นมาได้ เราจะมีความสุขนะ มีปัญญา เราจะทำให้เราพ้นจากกิเลสได้ พ้นจากความข้องใจได้ นี่ธรรมะ ฟังธรรมแล้วพยายามประพฤติปฏิบัติให้เป็นสมบัติของเรา เอวัง